พร้อมผนึกกำลังพันธมิตรจัดงาน
“Retail Summit 2025: Perfect Store Unleashed”
ร่วมพลิกโฉมวงการค้าปลีกสู่ยุค Perfect Store
ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญในการนำดิจิทัลโซลูชันมาใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ ล่าสุด ZEEN เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้พัฒนาระบบ AI ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับธุรกิจ FMCG และผู้ประกอบการร้านค้าปลีก เพื่อช่วยยกระดับการบริหารจัดการ เพิ่มยอดขาย และพลิกโฉมธุรกิจให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด “Every Store Perfect” โดยได้จัดงานสุดยิ่งใหญ่ Retail Summit 2025: Perfect Store Unleashed พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชัน Zeen Audit และ Zeen Shop ที่มาพร้อมฟีเจอร์หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ Pain Point ของทั้งแบรนด์และร้านค้าอย่างตรงจุด นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันวงการค้าปลีกไทยให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
บริษัท ซีน อินโนเวชั่น จำกัด (ZEEN Innovation Co., Ltd.) คือบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยที่ให้ความสำคัญกับการใช้ AI เข้ามาช่วยยกระดับการบริหารจัดการหน้าร้านของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด บริษัท ZEEN ก่อตั้งขึ้นจากประสบการณ์ตรงกว่า 5 ปีในการทำงานร่วมกับแบรนด์ระดับโลก และได้พัฒนาโซลูชัน AI ที่ตอบโจทย์ความซับซ้อนของการจัดการร้านค้าในโลกจริง ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเอง ZEEN ช่วยให้แบรนด์สามารถติดตาม ตรวจสอบ และบริหารการจัดวางสินค้าในแต่ละร้านค้าได้แบบเรียลไทม์
โดย คุณวรภัทร ชวนะนิกุล, Chief Financial Officer and Chief Strategy Officer, บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (บุญรอด) เผยว่า “อุตสาหกรรมรีเทลตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการเติบโตของออนไลน์และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจลูกค้าและตอบสนองได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งเทคโนโลยีและ AI ได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง เราเชื่อว่า AI ไม่ได้มาแทนที่คน แต่จะมาแทนที่คนที่ไม่ใช้ AI เพราะวันนี้ AI คือเครื่องมือที่จะทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าสังเกตคู่แข่ง วางกลยุทธ์ให้แม่นยำกว่าเดิม เราจึงนำ AI มาปรับใช้ทั้งในด้านการวางแผน การคิดกลยุทธ์สินค้า ไปจนถึงการพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ เพื่อให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้การเปลี่ยนแปลงระบบและการปรับตัวของคนจะเป็นความท้าทาย แต่เรามุ่งทำให้ทุกคนเห็นชัดว่าการใช้เทคโนโลยีคือการสร้างประโยชน์และความได้เปรียบในอนาคต”
ด้าน คุณเกียรติศักดิ์ วรรธนะสุขสันต์, Head of SOT, บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด (Nestlé) เล่าว่า “เนสท์เล่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นเหมือนโอกาสให้เราได้เร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานมากขึ้น ด้วยขนาดองค์กรที่มีทีมงานภาคสนามและฝ่ายขายกว่าพันคน การทำงานแบบแมนนวล (Manual) เพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถตอบโจทย์ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน เทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราสามารถป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก่อน และเมื่อมีข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ การทำงานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เรามีเวลาและทรัพยากรไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่”
และ คุณสุขุม หวานวารี, Senior Manage - Route to Market, บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด (Brand’s) กล่าวว่า “หลังโควิดเราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่าอีคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจที่มาแรง ทำให้เกิดผลกระทบต่อร้านค้าออฟไลน์ จึงทำให้ร้านค้าออฟไลน์ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว การตัดสินใจในยุคนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีที่แม่นยำและทันเวลา เทคโนโลยีไม่ได้แค่เปลี่ยนระบบงาน แต่เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจทั้งหมด ทุกคนในองค์กรตั้งแต่เซลล์ไปจนถึงนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Merchandiser) ต้องปรับตัว และ Customer Relation Management กลายเป็นหัวใจสำคัญของการเข้าถึงลูกค้า เรามองว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยหลักคือ ทิศทางที่ชัดเจน การเลือกเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช่ ระบบหลังบ้านที่พร้อม และคนที่สามารถปรับตัวได้จริง ธุรกิจอย่าง FMCG จึงต้องเลือกลงทุนกับสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด”
เริ่มจาก คุณณัฐนันท์ หุนตระกูล, ผู้จัดการฝ่ายขายกลุ่มลูกค้ารายใหญ่, บริษัท ครอสแม็กซ์ รีเทล จำกัด (Hooray!) เล่าว่า “Hooray! เริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์เล็กที่ต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งถ้าเรายังคิดแบบเดิมก็ยากที่จะสู้ได้ เราจึงสร้างโอกาสด้วยความยืดหยุ่นและการตัดสินใจที่รวดเร็วภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การมองคู่แข่ง แต่คือการแข่งกับตัวเองด้วยการปรับโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาศักยภาพทีมงาน และสอนให้ทุกคนใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ เราให้ความสำคัญทั้งการทำงานหน้าร้านและหลังบ้าน เชื่อมโยงกันในระบบเดียว เพื่อให้การแก้ปัญหาชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเรายังเน้นการสื่อสารให้พนักงานและคู่ค้าเข้าใจเหตุผลและเป้าหมายร่วมกัน เราเชื่อว่าการใช้ Data และ AI จะทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ไม่ใช่แค่เพื่อตามให้ทัน แต่เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง”
ถัดมาที่ คุณวริษฐา สืบพันธ์วงษ์, CEO & Founder, บริษัท มิซึฮาดะ กรุ๊ป จำกัด (MizuMi, Bomi, Gentle Colors) เผยว่า “แบรนด์ของเราเริ่มต้นจากปัญหาส่วนตัวเรื่องการแพ้ครีมกันแดด จนกลายมาเป็นความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพดีและเข้าถึงได้ง่าย แม้จะเผชิญความท้าทายมากมายตั้งแต่วันแรก แต่เราก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจากโลกออนไลน์สู่ Modern Trade และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีก การมีลูกค้าที่มี Brand Loyalty คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะครองใจผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน และเราเชื่อว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งไม่ได้มาจากยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากระบบหลังบ้านที่แข็งแรงและการทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกฝ่ายใน Ecosystem เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา”
และ คุณธานัท อนุตระกูลชัย, Perfect Store Manager, Mondelez International (Thailand) (Mondelez) กล่าวว่า “การทำรีเทลวันนี้ไม่ใช่แค่การวางสินค้าให้เต็มชั้น แต่คือการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างแท้จริง ตั้งแต่การจัดเรียงสินค้าให้ถูกต้อง การแก้ปัญหาของหมดหรือวางผิดพาโนแกรม (Planogram) ไปจนถึงการสื่อสารกับทีมขายให้เข้าใจว่าทุกตำแหน่งบนเชลฟ์มีความหมายในการแข่งขันเพื่อส่วนแบ่งตลาด เราลงทุนทำรีเสิร์ชและใช้เครื่องมือรวมถึง AI เพื่อให้รู้สถานการณ์หน้าร้านแบบเรียลไทม์และแก้ปัญหาได้ตรงจุด เพราะลูกค้ามีเวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการตัดสินใจ การทำให้เขาหาสินค้าเราเจอทันทีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ Mondelez วางแผนกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น แต่ยังช่วยสร้างการเติบโตไปพร้อมกับคู่ค้า และสะท้อนให้เห็นว่าการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญในการยกระดับการทำงานรีเทลในอนาคต”
สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Zeen Audit และ Zeen Shop ได้ฟรีทาง www.zeen.cloud/th/home-th/ ทั้งบน App Store และ Google Play พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการบริหารร้านค้าและแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อค้าปลีกยุคดิจิทัลโดยเฉพาะ
#RetailSummit2025 #FutureWithZeen
0 Comments