ชี้ปมสินค้าสวมรอยส่งผ่านไทย
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยที่ไม่รวมทองคำเติบโตกว่า 11% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีมาก เทียบกับการคาดการณ์ในช่วงต้นปี การส่งออกที่เติบโตได้ดีมากกว่าปกติอาจทำให้หลายคนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่ได้เติบโตแย่มากนัก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากิจกรรมในภาคการผลิตในช่วงเวลาเดียวกันกลับแทบไม่เติบโตหรือหดตัวลงในบางช่วงสวนทางกับการส่งออกที่โตต่อเนื่อง ตัวเลขที่สวนทางกันนี้อาจกำลังสะท้อนว่าการส่งออกที่เติบโตได้มากกว่าปกติอาจเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ดีอีกต่อไป และการดึงดูดการลงทุนเพื่อการส่งออกโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอาจไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน KKP Research ชวนสำรวจคำถามสำคัญว่าการส่งออกของไทยที่ยังเติบโตถึงสองหลัก ยังเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ดีเหมือนในอดีตอยู่หรือไม่?
ทำไมการส่งออกไทยเติบโตได้ดีในปี 2025 ?
มูลค่าการส่งออกไทยในปี 2025 ในหลายเดือนทำสถิติสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขมา KKP Research ประเมินว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกไทยขยายตัวได้ดี คือ ปัจจัยแรก ความผันผวนของตัวเลขการส่งออกรายเดือนจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและเครื่องประดับ การส่งออกที่เติบโตดีในปีนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาทองคำที่สูงขึ้นในปีนี้ แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ผลิตทองคำ ทำให้ไม่ได้มีกิจกรรมในภาคการผลิตทองคำโดยตรงและมีการนำเข้าสุทธิในหมวดทองคำ ยิ่งมูลค่าของการส่งออกทองคำเริ่มสูงขึ้นเทียบกับการส่งออกทั้งหมดจะทำให้ตัวเลขการส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้ว่าภาคการผลิตจะไม่ได้เติบโตขึ้นตามไปด้วย
ปัจจัยที่สอง ช่วยสนับสนุนการส่งออกไทยในปีนี้คือการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่เร่งเติบโตกว่า 29% ในปีนี้แม้ว่าสหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าบนสูงขึ้นต่อสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่ฟื้นตัวในช่วงต้นปี 2025 ไม่ได้เกิดจาก
อุปสงค์ทั่วโลกที่ดีขึ้นเป็นวงกว้าง แต่เป็นผลจากการปรับเส้นทางการค้าและการเร่งส่งออกล่วงหน้า เพื่อเตรียมรับการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 19% ในช่วงเดือนสิงหาคม
อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนสิงหาคม และกันยายน แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าแล้ว ข้อมูลการส่งออกแสดงให้เห็นว่าหมวดสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งคิดเป็น 35-40% ของส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี 2024 ยังขยายตัวสูงกว่าระดับปกติ ในขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีไม่ได้รับการยกเว้น และต้องจ่ายภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นขยายตัวช้ากว่า สะท้อนว่าการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่องมีแนวโนมเป็นการเร่งส่งออกชั่วคราว
เมื่อพิจารณาในมิติของสินค้าจะเห็นได้ว่าการส่งออกของไทย(ไปสหรัฐฯ?) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในหมวดคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการเติบโตของมูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำและเครื่องประดับ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก KKP Research ประเมินว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มูลค่าเพิ่มของสินค้ากลุ่มนี้จะมีจำกัดและอาจเข้าข่ายว่ามีการสวมสิทธิจากจีน สะท้อนจากกิจกรรมในภาคการผลิตที่ไม่ได้เติบโตตามส่งออกที่เร่งตัวขึ้น
มูลค่าเพิ่มของสินค้าที่เร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ คาดว่ามีจำกัด
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าการส่งออกและผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยจะพบว่า สินค้าจำนวนมากในไทยที่ส่งออกเร่งตัวขึ้นและเติบโตกว่า 15-30% ในช่วงผ่านมา กลับมีการผลิตในประเทศที่หดตัวลง ที่เห็นได้ชัด คือ กลุ่มคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ (ที่ไม่รวมฮาร์ดดิสก์) และเครื่องจักรกลและชิ้นส่วน รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า
KKP Research ประเมินว่าสินค้ากลุ่มเหล่านี้อาจมีการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนเพื่อการผลิต หรือ Import content ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือบางส่วนอาจเข้าข่ายสวมสิทธิ ทำให้มูลค่าเพิ่มหรือกิจกรรมการผลิตในประเทศจริงเกิดขึ้นน้อย และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการส่งออกแตกต่างออกไปจากในอดีต สะท้อนจากการนำเข้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่โตขึ้นพร้อมกับการส่งออก
ความเสี่ยงของภาคการผลิตคือการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น
นอกจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกไทยที่ลดลง ประเด็นที่น่ากังวล คือ การนำเข้าเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง มูลค่าการนำเข้าในปี 2025 เพิ่มขึ้นสูงกว่า 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ข้อมูลจะสะท้อนว่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากจะเป็นวัตถุดิบหรือสินค้าทุนที่ใช้เพื่อการส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ KKP research ประเมินว่า หลายสินค้าที่การนำเข้าทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นสินค้าที่ใช้บริโภคในประเทศเช่นกัน ตัวอย่างเช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เป็นต้น ซึ่งสะท้อนว่าสินค้าจากต่างประเทศกำลังเข้ามาตีตลาดในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าราคาถูกของจีน สะท้อนจากสัดส่วนการนำเข้าสินจีนต่อสินค้าทั้งหมดที่เพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศในหลายกลุ่มสินค้า
ในระยะถัดไปสถานการณ์นี้ยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น สถานการณ์ในจีนปัจจุบันภาคการผลิตยังมีอุปทานส่วนเกินค้างในระดับสูงเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวแต่ยังมีการขยายการลงทุนในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นทำให้ตลาดต่างประเทศต้องเป็นตลาดที่รับกำลังการผลิตส่วนเกินนี้ ซึ่งในประเทศที่กำลังเผชิญกับสินค้าจีนทะลักก็คือประเทศไทย
สถานการณ์ดังกล่าวยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากกำลังการผลิตในไทยปรับลดลงถึงจุดที่โรงงานขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้โรงงานในภาคอุตสาหกรรมไทยไม่สามารถดำเนินกิจการต่อและต้องปิดตัวลงมากขึ้นในอนาคต ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน การใช้จ่ายภายในประเทศและรวมไปถึงดุลการค้าของไทยในระยะข้างหน้า ประเด็นนี้คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้แม้ว่าตัวเลขการส่งออกจะยังเป็นบวกก็ตาม
เกี่ยวกับกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เกิดขึ้นจากการร่วมกิจการระหว่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ดำเนินการโดย ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และธุรกิจตลาดทุนที่ดำเนินการโดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด โดยกลุ่มธุรกิจฯ มุ่งนำทรัพยากรสู่ลูกค้าอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเปี่ยมประสิทธิภาพด้วยบริการที่เหนือความคาดหมาย
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มธุรกิจฯ ครอบคลุมสินเชื่อบรรษัท สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อย เช่นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนธุรกิจด้านตลาดทุนของกลุ่มธุรกิจฯ ครอบคลุมธุรกิจวานิชธนกิจ (Investment Banking) ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) ธุรกิจการลงทุน (Direct Investment) ตลอดจนธุรกิจจัดการกองทุน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kkpfg.com



0 Comments