Ad Code

Recent Posts

วช. แถลงผลพยากรณ์ R&D ปี 2567 – 2568 ชี้ทิศทางการลงทุนวิจัยไทย หนุนวางนโยบายเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม


วช. แถลงผลพยากรณ์ R&D ปี 2567 – 2568
ชี้ทิศทางการลงทุนวิจัยไทย
หนุนวางนโยบายเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “แถลงข่าวผลพยากรณ์ค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567 - 2568” ภายในงาน “NRCT Forum 2025 : วันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 66 ปี” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้แถลงผลพยากรณ์ค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567 – 2568 ณ ศูนย์สารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ อาคาร วช. 8 ชั้น 1


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
กล่าวว่า วช. แถลงผลพยากรณ์ค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ปี 2567–2568 เป็นตัวชี้วัดสำคัญใช้วัดขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของสถาบัน IMD โดยปี 2567 ประเทศไทยมีค่าใช้จ่าย R&D (GERD) 172,263 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.47 GERD/GDP ร้อยละ 0.93 ปี 2568 ค่าใช้จ่าย 174,158 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 1.10 GERD/GDP ร้อยละ 0.92 ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายสำคัญคือบุคลากรวิจัยและ GDP ปี 2567 บุคลากรเพิ่มร้อยละ 8.42 ปี 2568 ลดไม่มากร้อยละ 0.66 คาดว่าลดลงในกลุ่มเกษียณอายุ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่าย R&D ส่วนใหญ่ในภาคเอกชนร้อยละ 66 ภาคการผลิตยังคงอยู่ในสัดส่วนสูงสุด (ร้อยละ 48) ถัดมาภาคบริการ (ร้อยละ 35) และค้าส่งค้าปลีก (ร้อยละ 17) SMEs มีแนวโน้มลงทุนวิจัยเพิ่มและมีความต้องการมาตรการสนับสนุนจากรัฐ การเข้าถึงมาตรการรัฐที่สะดวกไม่ซับซ้อน การผลิตเน้นลงทุนในสาขาอาหาร เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์การกลั่นปิโตรเลียม อุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ภาคบริการเน้นการเงิน การบริหาร และสุขภาพ ค่าใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มตาม GDP ปี 2567 ร้อยละ 4.42 ปี 2568 ร้อยละ 2.21 งานวิจัยภาครัฐเน้นด้านการแพทย์และสุขภาพ การบริการและท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การพัฒนหลักสูตรนวัตกรรมการเรียนรู้ การผลิตและแปรรูปเกษตร อาหาร การบริหารจัดการน้ำ การจัดการฝุ่น PM 2.5 ส่วนบุคลากร R&D รายหัว ปี 2567 มี 239,202 คน เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 8.42 ปี 2568 ลดเหลือ 237,615 คน นักวิจัยส่วนใหญ่ร้อยละ 87 อายุ 25 – 54 ปี โดย อว. มีนโยบายสนับสนุนการผลิตบุคลากรวิจัยให้ตอบโจทย์ และ วช.ให้ควความสำคัญการพัฒนาเส้นทางอาชีพนักวิจัยและนวัตกรรมให้บรรลุเป้าหมาย 10,800 คน ปี 2566–2570 สนับสนุนขีดความสามารถแข่งขันและเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม


นอกจากนี้ ยังมีการเสวนานโยบายการลงทุนวิจัย เพื่อขับเคลื่อนอนาคตไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดย ดร.สิริพร พิทยโสภณ รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้กล่าวถึง นโยบายการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) โดยมีเป้าหมายคือยกระดับการพัฒนาประเทศ สร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (IDE) และเพิ่มงบวิจัย (GERD) ผ่านมาตรการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึง แนวทางการลงทุนวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยเน้นผลักดันผลงานวิจัยสู่ SME/STARTUP/SPIN-OFF การสร้างระบบระบบนิเวศนวัตกรรม เปลี่ยนผ่านจากการให้ทุนสู่การร่วมลงทุน ผ่านมาตรการ/กลไกสำคัญ อาทิ TRIUP การจัดตั้ง University Holding Company (UHC) ให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถนำผลงานวิจัยไปร่วมลงทุนและใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึง ความเชื่อมโยงระหว่างนวัตกรรมกับ GDP โดยเน้นย้ำความสำคัญของการยกระดับเทคโนโลยีจากระดับ "Incremental" เป็น "Disruptive" และกลยุทธ์การฉีดนวัตกรรมเข้าไปในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าและราคาสูงขึ้น


ทั้งนี้ งาน “แถลงข่าวผลพยากรณ์ค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567 - 2568” เพื่อประกาศตัวเลขคาดการณ์ด้านค่าใช้จ่ายและบุคลากรวิจัยของประเทศ ให้หน่วยงานรัฐ เอกชน และผู้กำหนดนโยบายใช้เป็นข้อมูลวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม สะท้อนสถานการณ์และแนวโน้มการลงทุนวิจัยอย่างโปร่งใส พร้อมชี้ประเด็นท้าทาย – โอกาสสำคัญของประเทศ และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวนโยบายการลงทุนวิจัยระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

Post a Comment

0 Comments

Comments

Ad Code